ฟังชัดๆจากปากแม่ ส.ต.ต.อาร์ม ย้อนเหตุการณ์ 20 ปี สามีถูกฆ่าปาดคอ อ่านแล้วน้ำตาไหล

จากกรณีเมื่อวันที่ 5 - 6 ธ.ค.2541 นายบุญฤทธิ์ ครุฑละออง พร้อมกับพวก ได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดฆ่านายประสิทธิ์ แซ่อื้อ และนายชาณี ทองหญีต แล้วน...


จากกรณีเมื่อวันที่ 5 - 6 ธ.ค.2541 นายบุญฤทธิ์ ครุฑละออง พร้อมกับพวก ได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดฆ่านายประสิทธิ์ แซ่อื้อ และนายชาณี ทองหญีต แล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่บริเวณสระน้ำริมทาง บ้านท่าตะเภา ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี โดยก่อนเกิดเหตุนายประสิทธิ์ฯ และนายชาณีฯ ผู้ตาย ได้ขับรถสิบล้อ เพื่อไปบรรทุกไม้ยางที่บริษัทเมโทร ในเขตพื้นที่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อผู้เสียชีวิตทั้งสองมาถึงที่



บริษัท ปรากฏว่าไม่มีไม้ยางจะบรรทุก จึงได้จอดรถรออยู่หน้าบริษัท ในขณะที่รออยู่นั้น นายบุญฤทธิ์ฯ พร้อมพวก ได้มาพบและทำทีว่าจ้างให้ไปบรรทุกทราย แต่ผู้ตายทั้งสองไม่ไป หลังจากนั้น นายบุญฤทธิ์ พร้อมพวก ได้ใช้อาวุธมีดจี้บังคับ ผู้ตายทั้งสองให้ขึ้นรถยนต์กระบะ โดยใช้ถุงพลาสติกสีดำคลุมศีรษะ และใช้อาวุธมีดฆ่านายประสิทธิ์ และนางชาณี ก่อนนำศพมาทิ้งไว้ที่บริเวณสระน้ำริมทาง ต่อมามีผู้ไปพบศพ จึงแจ้งพนักงานสอบสวน สภ.พุนพิน และศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกหมายจับ ลงวันที่ 22 ก.ย.2551 ซึ่งคดีกำลังจะหมดอายุความ ในวันที่ 2 ธ.ค.2561
ด้าน พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. กล่าวว่า ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกหมายจับ ที่ 786/2551 ลงวันที่ 22 ก.ย.2551 ซึ่งคดีกำลังจะหมดอายุความ ในวันที่ 2 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ขณะเกิดเหตุนั้นภรรยาของหนึ่งในผู้ตายได้ตั้งครรภ์และต่อมาคลอดบุตรชาย ปัจจุบันบุตรของผู้ตายสามารถสอบบรรจุเข้ารับราชการตำรวจได้ติดยศ สิบตำรวจตรี สังกัด ตำรวจภูธรภาค 8 และสืบสวนจนทราบว่า นายบุญฤทธิ์ ผู้ฆ่าบิดาตนเองยังไม่ถูกจับกุม จนได้เบาะแสแหล่งกบดาน จึงได้ประสานชุดสืบสวนกองปราบฯเข้าวางแผนจับกุม


โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อ ปี 2541 ซึ่งสามี ภรรยา ที่เสียชีวิต มีบุตร ด้วยกัน หลังจากพ่อแม่ตายแล้ว บุตรได้เติบโตจนถึงปัจจุบัน สอบบรรจุเข้ารับราชการตำรวจได้ และสืบสวนจนทราบว่านายบุญฤทธิ์ฯ เป็นผู้ฆ่าบิดาตนเอง และยังไม่ถูกจับกุม จึงได้ประสานชุดสืบสวน เข้าวางแผนจับกุม ซึ่งชุดสืบสวนทราบว่านายบุญฤทธิ์ฯ ได้มาขับรถไถรับจ้างที่บริเวณสวนปาล์ม ในหมู่บ้าน ม.2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร จึงเดินทางไปตรวจสอบ และพบตัวนายบุญฤทธิ์ฯ จึงนำตัวมาสอบสวน นายบุญฤทธิ์ฯ ให้การยอมรับว่าก่อเหตุเมื่อปี 2541 จริง และทราบว่าตนเองมีหมายจับ จึงหลบหนี และไม่ได้ทำบัตรประชาชนอีกเลย นับตั้งแต่นั้นมา ขอให้การปฏิเสธ และจะขอต่อสู้คดีในชั้นศาล ชุดสืบสวนจึงจับกุมตัว นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.พุนพิน จว.สุราษฎร์ธานี ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ซึ่งหลังจากจับกุมคนร้ายที่หนีคดีกว่า20ปีได้ ทาง ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ มากประดิษฐ์ หรืออาร์ม ตำแหน่ง ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.สส.ภ.8 ซึ่งเป็นลูกชายของ นายประสิทธิ์ ผู้เสียชีวิต ได้เปิดเผยว่า ตอนจำความได้เคยถามแม่ว่าพ่อหายไปไหน แต่แม่ไม่บอก


จนกระทั่งตนรบเร้าหลายๆ ครั้ง จนแม่ยอมบอกว่าพ่อถูกฆ่า และบอกอีกว่าพ่ออยากให้ตนเป็นนายร้อยตำรวจ จึงมุ่งมั่นสอบเข้าตำรวจให้ได้ตามที่พ่อคาดหวัง อีกทั้งอยากจับกุมคนร้ายที่ร่วมกันฆ่าพ่อด้วย ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวต่อไปว่า รู้สึกดีใจมากที่ผมมีส่วนร่วมจับกุมคนร้ายที่ฆ่าพ่อผมได้ โดยคดีนี้ผมสืบสวนหาข่าวด้วยตัวเอง เนื่องจากตำรวจท้องที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เมื่อได้ข้อมูลว่าคนร้ายกลับเข้ามาในพื้นที่จึงประสานกองปราบจับกุมดังกล่าว



ฟังจากปากแม่ "เราไม่รู้อะไรเลยในตอนนั้น รู้แค่สามีเราถูกฆ่าโหดเหี้ยมมาก เอาถุงพลาสติกมาคลุมหัว มือ 2 ข้างถูกมัดไพล่หลัง พี่เขยก็ถูกฆ่าปาดคอ นำศพไปหมกในสระน้ำริมทางบ้านท่าตะเภา ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนฆ่าเพราะอะไรตอนนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบดิฉันได้ แม้กระทั่งผู้ต้องหาที่เพิ่งจับไปล่าสุดเมื่อวานนี้ก็ยังให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า แต่หากใครได้มาฟังคำบอกเล่าสภาพศพของสามีจะรู้ว่า มันโหดเหี้ยมทารุณมาก นอกจากที่ดิฉันเสียใจมากแล้ว ในสมองก็ได้แต่คิดว่า จะทำมาหากินเลี้ยงลูกลำพังได้อย่างไร"


"ทำมาหากินคนเดียวเพื่อเก็บเงินส่งให้น้องอาร์มเรียนจนจบ กระทั่งสอบติดเข้าเป็นตำรวจตามความฝันของพ่อเขา อันนี้คือความตั้งใจจริงๆ นะ แต่ถามว่าจะเป็นตำรวจเพื่อมาล้างแค้นหรือมาจับฆาตกรที่ฆ่าพ่อเขาหรือเปล่า อันนี้ไม่ใช่จุดประสงค์หลัก เพราะพ่อเขาพูดไว้ตั้งแต่ก่อนถูกฆ่าตายแล้วว่าอยากให้ลูกชายเป็นนายตำรวจ กระทั่งเมื่อลูกสอบติดตามความฝัน จึงตัดสินในกลับไปหาข้อมูลรื้อคดีติดตามคนที่ฆ่าพ่อ เนื่องจากมีชื่อตามหมายจับของ สภ.พุนพิน ที่สำคัญก่อนที่ผู้ต้องหาคนนี้จะถูกจับเขาเคยมาป้วนเปี้ยนที่บ้าน ทำให้ดิฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย เหตุนี้เองลูกชายจึงเร่งตามคดี ประสานกองปราบปราม เข้าจับกุม"


"ดิฉันเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร คิดว่าเรื่องมันผ่านเลยไปแล้ว ที่สำคัญตำรวจก็ยังไม่ได้จับ คิดว่าก็ต่างคนต่างอยู่กันไป กระทั่ง ผู้ต้องหากลับเข้ามาในพื้นที่อาศัยของดิฉันในท่าแซะ ก่อนจะมาตะโกนเรียกหน้าบ้านทำนองคุกคาม น้องอาร์ม รู้สึกเป็นห่วงแม่ จึงรีบออกสืบสวนติดตามตัว และพอเขารู้ว่าน้องอาร์ม เป็นตำรวจเขาก็เริ่มจะเกรงกลัวหลบหนีหายไปไม่มาคุกคามที่บ้านอีก ต่อมาสืบทราบว่า ผู้ต้องหา มารับจ้างขับรถไถที่สวนปาล์ม หมู่ 2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ลูกชายจึงประสานกองปราบจับกุม"


"ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท้องที่เขามีเหตุผลความจำเป็นหรือความไม่พร้อมทางด้านไหนถึงไม่ดำเนินการต่อเนื่อง ปล่อยให้คนร้ายหลบหนีมากว่า 20 ปี และน้องอาร์มก็ไม่ได้เล่าว่าทำไมถึงไปประสานตำรวจกองปราบ แต่ที่แน่ๆ ข้อมูล่าสุดทราบมาว่า คนร้ายรายนี้ เป็นลูกน้องนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง และรู้จักกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน ก่อนหลบหนีมารับจ้างขับรถไถที่บริเวณสวนปาล์ม กระทั่งประสานตำรวจกองปราบปรามจับกุมดังกล่าว"
"เห็นใจนะ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อมีชื่อในหมายจับของตำรวจว่าร่วมกันฆ่า ส่วนที่เขาปฏิเสธก็เป็นสิทธิ์ของเขา หากไม่ได้ทำจริงๆ ก็สงสารเขาเพราะแก่มากแล้ว ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกอย่างไร ทั้งนี้เชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมจะช่วยพิสูจน์ทุกอย่างให้ชัดเจนขึ้น"


Cr:https://www.siamnews.com



You Might Also Like

0 comments

Flickr Images