ย้อนฟัง คุณวิชัย เผยถึง หุ้นคิงเพาเวอร์ ที่แบ่งให้ ลูกทั้ง 4คน เมื่อถึงคราววางมือ

"เจ้าสัววิชัย" เป็นนักธุรกิจชาวไทยที่มีชื่อเสียง ในฐานะประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ โดยนิตยสารฟอร์บส์เคยจัดลำดับให้ ...


"เจ้าสัววิชัย" เป็นนักธุรกิจชาวไทยที่มีชื่อเสียง ในฐานะประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ โดยนิตยสารฟอร์บส์เคยจัดลำดับให้ "เจ้าสัววิชัย ศรีวิฒนประภา" เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากที่เป็น



อันดับ 4 ของประเทศไทย ซึ่งมีทรัพย์สินทั้งหมด 4,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณเป็นเงินไทยได้ 155,000 ล้านบาท (บันทึกไว้ ณ ปีพ.ศ. 2560) อีกทั้งนอกจากนี้ "เจ้าสัววิชัย" ยังเป็นเจ้าของและประธานสโมสรฟุตบอลทีม "เลสเตอร์ซิตี้" ในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 อีกด้วย


ต้องบอกเลยว่า "เจ้าสัววิชัย" เป็นบุคคลที่เก่งและมีความสามารถมากๆ โดย "เจ้าสัววิชัย" เคยได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารแพรว โดยได้เปิดใจถึงเรื่องทายาทที่จะมาดูแลเรื่องธุรกิจไว้ในภายภายค์หน้าเอาไว้ว่า "ผมมีลูก 4 คน  (วรมาศ,อภิเชษฐ์,อรุณรุ่ง และอัยยวัฒน์) โดยปกติไปเขาอาจแบ่งให้ลูกคนละ 25 ส่วน แต่สำหรับผมใช้วิธีให้ลูกเลือกกันเองว่าจะให้หนึ่งคนเป็นใหญ่ที่สุดนั้นคือใครในจำนวนพี่น้อง 4 คน
จากนั้นผมแบ่งให้คนละ 10 สามคน และให้คนที่เขาเลือกถือ 60 โดยผมยังถืออีก 10 ไว้ ตรงนี้ไม่ใช่เพราะลำเอียง แต่เพราะผมเห็นในพรสวรรค์ของคนที่มีไม่เท่ากันมากกว่า อย่างตอนนี้พี่น้องทุกคนเลือกให้ต๊อบ (อัยยวัฒน์) ลูกคนเล็กถือ 60 ส่วนของทั้งหมด ซึ่งเขาจะได้ทันทีเมื่อผมวางมือ แต่ผมก็ยังมีเงื่อนไขนะว่าถึงเขาจะเลือกกันเอง แต่สักวันอาจเปลี่ยนคนที่จะถือหุ้นเยอะที่สุดตามความเหมาะสมก็ได้"


 "จริง ๆ ผมเกษียณตั้งแต่อายุห้าสิบแล้ว ซึ่งมาจากผมคิดว่าถ้าเราทำอะไรเป็นระบบและมีแผน เราไม่ต้องคาดหวังว่าจะต้องอยู่เป็นปู่ของบริษัท เราแค่เป็นผู้ถือหุ้น คอยเก็บเงินปันผล ใครที่มีความสามารถก็ให้เขาขึ้นมา เขาจะได้ไม่มีความรู้สึกว่าผมผูกบริษัทไว้คนเดียว แต่เผอิญตอนผมอายุห้าสิบเป็นช่วงที่บริษัทมีปัญหามากมาย



คำว่าเกษียณของผมจึงยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปีหนึ่งผมต้องประชุมหนึ่งครั้งกับทีมผู้บริหารซึ่งมีราว 600 คน เพื่อแถลงนโยบายและบัดเจ็ท นอกนั้นจะมีท็อปอีก 9 คน ที่ต้องเจอผมเดือนละครั้ง เพื่อแลกเปลี่ยนกัน หลังจากเขาพูดจบ ผมก็จะบอกว่าสิ่งที่พูดมาสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด และควรทำอย่างไร อย่าลืมว่าสามสิบวันเขาได้ฟังผมวันเดียวนะ เพราะฉะนั้นมีอะไรผมต้องบอกเขา แต่พ้นจากนั้นผมไม่ยุ่ง"


"ผมให้ลูกทุกคนเรียนรู้จริง ผมถือว่าการได้รู้จริงถึงแม้จะล้มเหลวแต่เขาก็ยังได้รู้ ฟุตบอลจึงเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเรียนรู้ เพราะมันเป็นกีฬา มีแพ้มีชนะ นัดไหนแพ้ เขาก็เสียใจ เหมือนกันกับชนะ มันจึงเป็นกีฬาที่ทำให้เขารู้จักทั้งสมหวังและผิดหวัง เปรียบเป็นบทเรียนชีวิตแล้วก็เหมือนกับเขาได้เรียนรู้ทั้งตอนมีและไม่มี"


Cr:https://www.siamnews.com/view-25231.html



You Might Also Like

0 comments

Flickr Images